‘เค้ก’ อภิพรรณ จาก Rally Movement ขยับตัวให้ทันในวันที่โลกหมุนไว แต่ยังไงก็ต้องเป็น ‘ตัวเอง’ กับตัวช่วยสุดดีที่ทำให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่าย

  • Year: 2022
  • Project: ‘เค้ก’ อภิพรรณ จาก Rally Movement ขยับตัวให้ทันในวันที่โลกหมุนไว แต่ยังไงก็ต้องเป็น ‘ตัวเอง’ กับตัวช่วยสุดดีที่ทำให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่าย
  • Client: ASUS
  • Business Unit: Content

ถึงแม้เทคโนโลยีจะทำให้การทำธุรกิจดูเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น สามารถเข้าถึงลูกค้าได้สะดวก ขายของได้แม้ไม่มีหน้าร้าน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่โลกที่ทุกอย่างรวดเร็วและออนไลน์ ผู้ประกอบการเองก็ต้องขยับตัวให้ทันอยู่เสมอ

แต่เราต้องทำตามเทรนด์ทุกอย่างเลยไหม?
เราต้องตามให้ทันทุกกระแสทุกความเปลี่ยนแปลงเลยหรือเปล่า?
สิ่งเหล่านี้นับเป็นโจทย์ใหม่ ที่คนทำธุรกิจต้องหาคำตอบให้เจอ

วันนี้ BrandThink จะพาทุกคนมาคุยกับ ‘เค้ก’ อภิพรรณ มงคลพาณิชยกิจ จากแบรนด์ Rally Movement แบรนด์แฟชั่นชื่อดังที่ปรับตัวเองให้ทันตามโลก แต่ยังคงเอกลักษณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ เรายังแอบถามถึงเคล็ดลับกับอุปกรณ์ที่เค้กใช้ เพื่อให้การจัดการธุรกิจเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคยเป็นมาด้วย

เธอเองจะมีแนวคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจอย่างไร?
ไม่ต้องตามอะไรโลกยุคใหม่เลยหรือเปล่า?
เธอบาลานซ์ระหว่างการทำงานและการพักผ่อนแบบไหน?
และอะไรคือตัวช่วยคู่ใจที่ทำให้ธุรกิจเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น?

เรามาติดตามได้ในบทความนี้เลย!

เค้กเริ่มจากการขายของเล็กๆ น้อยๆ ผ่านทางอินสตาแกรมตั้งแต่สมัยมัธยม โดยนำสิ่งที่เรียนรู้มาพัฒนาเป็นสินค้าและลองขายไปเรื่อยๆ

จนมีโอกาสได้เริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเอง แต่ก็ยังเลือกที่จะทำงานอื่นๆ ควบคู่กันอยู่ พร้อมการสนับสนุนจากคนรอบข้าง มีเพื่อน มีครอบครัวที่คอยดูแลให้กำลังใจ ทำให้แบรนด์เองค่อยๆ ขยายกว้างไปเรื่อยๆ ภายในเวลา 2 ปี ทุกอย่างก็ลงตัว

เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก

ตอนแรกยังไม่มีแบรนด์ พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็เริ่มหุ้นกับเพื่อน ทำสินค้าที่ประณีตมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เป็นแบรนด์แบบจริงจัง จนกระทั่งเราเรียนจบ เราก็มองภาพตัวเองว่า เราคงไม่ได้ไปเป็นดีไซเนอร์ให้แบรนด์ไหน เราอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจเอง และก็มาเริ่มทำแบรนด์ขึ้นมาเลย เราก็ใช้ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ จากที่เราเคยทำมา จนมาเป็น Rally Movement

โดยตัวตนของแบรนด์ ก็มาจากตัวเรา และด้วยความที่เราเพิ่งเรียนจบมา เราคือ first jobber คนหนึ่ง ก็เลยตั้งโจทย์ว่าเริ่มจากอะไรที่ใกล้ตัวก่อน ว่าสมมติเราเป็นพนักงานออฟฟิศเราอยากจะใส่อะไรไปทำงาน

ในตอนนั้นเรามองว่าก็จะเป็นสีที่ค่อนข้างแบบโมโนโทน แต่ความที่เราเป็นคนที่ชอบแต่งกายด้วยสีสัน ก็เลยมาดูว่าจะสามารถเจอกันตรงกลางได้ที่ไหน ความสุภาพ ถูกกาลเทศะ แต่ก็ยังมีความสนุก ลูกค้าที่ซื้อไปก็จะรู้สึกสนุกขึ้น ถึงจะสุภาพ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าต้องน่าเบื่อ

เพราะโลกธุรกิจไม่เคยเหมือนที่คิดไว้

พอมาทำแบรนด์แบบจริงๆ จังๆ ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย คนส่วนมากจะคิดว่าการได้ทำแบรนด์เสื้อผ้า ได้อยู่กับของสวยงาม แฟชั่นโชว์ และถ่ายแบบ แต่มันเป็นแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดเท่านั้น ตั้งแต่ที่เราติวจะเข้ามาเรียน มันก็มีทั้งสิ่งที่เราชอบและก็มีสิ่งที่เราไม่ชอบด้วย แต่เราก็พยายามมองข้ามสิ่งที่เราไม่ชอบไป

ส่วนอีก 99 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ เป็นความท้าทายในด้านอื่นๆ เพราะในส่วนของการออกแบบก็จะไม่ได้เยอะขนาดนั้น เพราะปีหนึ่งเราออกแบบแค่ 3-4 คอลเลกชัน เป็นแบบเซ็ตๆ ไป ในส่วนที่เหลือก็จะเป็นเรื่องธุรกิจมากกว่า เพราะเราเป็นเจ้าของธุรกิจ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะออกแบบอย่างเดียวเท่านั้น มันก็จะมีทักษะอื่นๆ ที่เราต้องใช้ด้วย การบริหาร การตลาด และอีกมากมาย

รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

สำหรับตอนนี้ เราคิดว่าการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่หมุนไวมันยากมากอยู่แล้ว กว่าเราจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งนั้นได้ก็ใช้พลังงานไปเยอะแล้ว พอปรับตัวได้ถึงจุดหนึ่งก็จะมีเรื่องใหม่เข้ามาอีก เราอาจจะพูดได้ว่าสำหรับนักธุรกิจในทุกวันนี้คือการ ‘ปรับตัว’ มากกว่าทุกอย่างเลย

เหมือนโควิดทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนเร็ว มันผ่านยุค Startup ยุค E-Commerce มาแล้ว และก็กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ เราก็ต้องสำรวจแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่จะเป็นทางรอดในอนาคต ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ใช่ทุกอย่างที่จะเหมาะกับธุรกิจอย่างเรา ต้องลองดูแล้วเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม

แล้วก็เรื่อง ‘relearn-unlearn’ ก็สำคัญ สมมติเราเคยเรียนมาอย่างหนึ่ง แต่วันหนึ่งมันใช้ไม่ได้แล้ว เราก็ต้องกล้าที่จะลองเปลี่ยนไปทำวิธีการใหม่ จนเกิดการเรียนรู้ ต้องเอาความรู้ใหม่ใส่เข้ามาตลอด

เราเป็นคนหนึ่งที่กลัวจะตกยุค กลัวจะตามเด็กรุ่นใหม่ไม่ทัน จึงพยายามรับน้องในทีมที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ เพื่อจะได้มีไอเดียใหม่ๆ เข้ามาในทีมตลอดเวลา การได้แลกเปลี่ยนความคิดกับคนที่อายุน้อยกว่าเรา ก็ทำให้เราเปิดกว้างและช่วยให้ปรับตัวได้ดีขึ้น เหมือนเอาด้านนั้นของเขามาบวกกับประสบการณ์ของเรา

ตามโลกให้ทัน แต่ก็ไม่ได้ต้องทำตามทุกอย่างที่เขาวางไว้

สิ่งสำคัญก็คือ ต้องเป็นตัวเองก่อนเลยอันดับแรก อย่างบางทีเราทำไปแล้วมีคนมาแนะนำว่าต้องทำอย่างนี้ เราลองแล้วอาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราเองทำแล้วรู้สึกฝืนๆ ไม่มีความสุขก็ต้องปรับหาตรงกลาง ต้องอย่าลืมว่าทำตามโลกได้แต่เหลือพื้นที่ให้ความ creative ด้วย ถ้าสมมติทุกคนไปทำตามแบบเดียวกันหมดมันก็จะเหมือนกัน แต่ถ้ามีไอเดียความเป็นตัวเองที่แปลกออกมาก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

ด้วยความที่เราเป็นคนแบบนี้ แล้วก็ต้องมีคนที่ชอบเหมือนกับเรา พอเขามาเจอเราเขาก็น่าจะชอบ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เสพอะไรไปตามกระแส เราก็อยากให้คนที่ตามเราแล้วรู้สึกสบายใจ แบบดูแล้วไม่จำเป็นต้องซื้อ แต่ได้ความจริงใจ ความเป็นเพื่อน แล้วติดตามกันไปในระยะยาว

อย่างลูกค้าของแบรนด์ เขาก็เลือกจากตัวตนของแบรนด์ เลือกที่สินค้าเรามีความแตกต่าง ของ Rally Movement อย่างที่บอกเราไม่ได้ตามเทรนด์เลย ส่วนมากสินค้าที่ออกมาจะเกิดจาก passion และสิ่งที่เค้กอินในช่วงนั้นๆ เก็บเกี่ยวจากการเดินทางท่องเที่ยวนำมาดีไซน์เป็น collection ส่วนใหญ่ของลูกค้า ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่มีความเป็นตัวเองสูง ชอบสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ แล้วก็หลายคนที่ติดตามเรามาก่อนตั้งแต่ day one โตมาด้วยกัน แล้วเขาสนับสนุนเรามาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

คิดว่าอะไรคือตัวช่วยที่ทำให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่ายขึ้น?

ถึงเดี๋ยวนี้ คนจะฮิตใช้โทรศัพท์หรือแท็บเล็ตในการทำงานกันมากขึ้น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องจัดการจริงๆ เราว่ายังไงก็ต้องใช้คอมฯ ใช้โน้ตบุ๊กอยู่ดี อย่างระบบหลังบ้าน พวกตัวเลข พวกสต๊อก หรือการดูแลการตลาด ก็จะมีการวิเคราะห์ข้อมูล การยิงแอดโฆษณาสินค้า การใช้โน้ตบุ๊กจะสามารถทำได้ละเอียดกว่าและใช้งานได้ง่ายกว่าการใช้โทรศัพท์ ในการดูข้อมูลเชิงลึก เพราะฉะนั้นโน้ตบุ๊กดีๆ สักเครื่องนี่แหละที่จะทำให้อะไรมันง่ายขึ้น ทำให้การบริหารธุรกิจราบรื่นขึ้น

อย่างเรื่องการประชุม หลังจากยุคที่ผ่านมา เราประชุมออนไลน์บ่อยนะ เพราะมันก็สะดวกสบายแบบไม่ต้องมาเจอกัน แต่บางที ก็มีปัญหาจุกจิกเรื่องกล้อง เสียง หรือไมค์ คุยกันเองภายในก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าประชุมบางครั้งก็เป็นประชุมสำคัญ คุยงานธุรกิจ เรื่องพวกนี้ก็ทำให้เราดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

แล้วตอนนี้ใช้อะไรอยู่?

ตอนนี้ที่ใช้อยู่ก็คือ ASUS ExpertBook B9400 เราชอบตรงที่ว่าไม่เล็กจนเกินไป จอกว้างช่วยให้ดูรายละเอียดได้ง่าย แต่ก็มีน้ำหนักที่เบา อย่างคนทำธุรกิจในทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับที่แบบเรา พกพาสะดวกเป็นสิ่งสำคัญเลย สองคือความเร็ว แบบไม่ต้องมานั่งรอมันค้าง บางทีมันหงุดหงิด สิ่งที่อยากจะทำก็ไม่สะดวก ตอบโจทย์กับคนทำธุรกิจโดยเฉพาะ เปิดเข้ามาใช้งานได้เลย แล้วก็แบตเตอรี่ที่สามารถอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องพกที่ชาร์จ เวลาไปทำงานนอกสถานที่ก็ไม่ต้องมาคอยหารูปลั๊ก เรามั่นใจได้ว่า ถ้าชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง สามารถใช้งานได้ทั้งวันแน่ๆ

ประทับใจตรงไหน?

มีหลายฟังก์ชันที่เราชอบ ถ้าไม่นับเรื่องความเบา เราชอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาคิดมาให้ อย่างเช่นเรื่องพอร์ต ถึงจะเห็นบางๆ แบบนี้ แต่ตัวนี้ก็มีพอร์ตครบ เราไม่ชอบการที่ต้องพกพอร์ตเสริมเพื่อใช้เชื่อมต่อ อยากให้ครบจบที่ตัวเครื่องเลย และที่สำคัญมันแรง ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิก อยากทำอะไรก็ทำเลย

หรืออย่างที่เราเป็นคนทำงานที่บ้าน บางทีโต๊ะกินข้าว โซฟา หรือเตียง มันก็คือโต๊ะทำงานของเรา เราเปลี่ยนอิริยาบถทั้งวัน แล้วไม่ชอบให้สายชาร์จมันเกะกะ แต่ตัวนี้ เราชาร์จทิ้งไว้แป๊บเดียวก็กลับมาใช้งานต่อได้เลย

พวกกล้อง หรือเสียงก็สำคัญ จากประสบการณ์แย่ๆ ที่เคยมีเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่พอมาลองใช้ ExpertBook B9400 กลายเป็นว่าเราไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงหรือกล้องอะไรมาก เพราะเราไม่ได้มีออฟฟิศประจำ ถึงจะประชุมข้างนอกก็มีระบบช่วยตัดเสียงรบกวนได้ คุยงาน ประชุมออนไลน์ก็สะดวกสบายขึ้นอีกเยอะ

อาจจะไม่ได้คีย์ฟังก์ชันที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่รายละเอียดพวกนี้แหละ สำคัญต่อการทำธุรกิจมากจริงๆ โดยเฉพาะพวกฟีเจอร์ระบบรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร ข้อมูลการทำงานเราที่สำคัญๆ การมีอุปกรณ์ทำงานที่ช่วยปกป้องข้อมูลในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ก็จำเป็นมากสำหรับการทำงานในโลกธุรกิจ

ASUS ExpertBook B9400 โน้ตบุ๊กธุรกิจขนาด 14 นิ้ว ที่เบาที่สุดในโลก ตัวช่วยดีๆ ที่คนทำธุรกิจเลือกใช้

เชื่อว่าปัญหาของโน้ตบุ๊กที่คนทำธุรกิจเคยเจออาจจะเป็นเรื่องที่คล้ายๆ กับเค้ก เครื่องมีประสิทธิภาพ แต่ก็หนัก หรือบางทีเครื่องเบา แต่ระบบการทำงานก็ไม่ได้ดั่งใจ และฟังก์ชันก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานจริงๆ ได้ ซึ่ง ASUS ExpertBook B9400 จึงถูกพัฒนาให้เป็นโน้ตบุ๊กที่เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้โดยเฉพาะ ชูจุดเด่นเรื่องความเบา มีขนาดจอกว้างถึง 14 นิ้ว พกพาสะดวก

โดย B9400 มีน้ำหนักเพียง 1.005 กิโลกรัม ในรุ่นแบตเตอรี่ 66 วัตต์ แต่ก็ยังแข็งแรง ทนทาน ไม่ว่าออกไปนั่งทำงานที่ไหน หรือออกไปคุยธุรกิจเรื่องอะไร ก็กะทัดรัดสะดวกสบายแน่นอน เรื่องความแรง ความเร็วก็หายห่วง เพราะมาพร้อมโปรเซสเซอร์รุ่นล่าสุด 12th Gen Intel® Core™ i7 processor with Iris Xe graphics, Intel WiFi 6E ที่เร็วมากและ Dual SSD สูงสุด 2 TB พร้อมรองรับ RAID 0/1 อีกด้วย

และ ExpertBook B9400 ให้ความสำคัญกับเรื่องแบตเตอรี่มาก สามารถใช้งานสูงสุด ถึง 16 ชั่วโมง มีฟังก์ชันชาร์จเร็ว จาก 1 เปอร์เซ็นต์ ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาเพียง 44 นาที หรือพูดง่ายๆ สามารถใช้งานทั้งวันได้สบายๆ โดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่เลยก็ได้

ส่วนฟังก์ชันอื่นๆ เขาก็คิดมาให้ครบ ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน (AI Noise-canceling) กล้องที่คมชัด (AI Camera) มีระบบ NumberPad ที่ใช้งานง่าย พอร์ตเยอะมีครบ จะเชื่อมต่ออะไรก็สะดวก และที่สำคัญ ความปลอดภัยระดับองค์กร ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องธุรกิจ ฮาร์ดแวร์ และข้อมูลส่วนตัว มาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่ทำให้การทำงานสะดวก และเป็นมิตรกับสรีระมากขึ้น

เอาเป็นว่า เขาคิดมาให้แล้ว เหมาะกับคนทำธุรกิจตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ เพราะสมบูรณ์แบบรอบด้านจริงๆ

Powered by 12th Gen Intel® Core™ i7 processors with Intel® Iris® Xe graphics

การรับประกันจาก ASUS Exclusive Care

  • 3 Year Onsite Service: บริการตรวจซ่อมฟรีถึง 3 ปี
  • 3 Year Global Warranty: ครอบคลุมการรับประกัน 3 ปีทั่วโลก
  • 1 Year Perfect Warranty: เพิ่มการรับประกันอุบัติเหตุให้ใน 1 ปีแรก

ทำความรู้จัก ExpertBook B9400 เพิ่มเติมได้ที่:
B9400CBA: https://th.asus.click/kksSmy
#ASUSTH #ExpertBook #12thGen #Intel